หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

internet marketing

มารู้จักกับ internet marketing

1) สร้างเว็บขายสินค้า หรือ บริการของตัวเอง ! ( อันนี้อาจจะเหนื่อยหนักสุด ลงทุนมากสุด แต่้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากสุดครับ )
2) ทำ Adsense :เป็นตัวเเทน ขายโฆษณาให้กับ Google Adsense ยังเเยกย่อยออกเป็น
(2.1) black hat : เว็บจำพวก cloaking , เว็บปั่น , เว็บขย่ะ มาเร็วไปเร็ว ทันใจวัยรุ่น เหมาะกับคนมีญาติเยอะเพราะตัองโดยเเบน กลูเกิลยึดเเอดเคา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง จึงต้องสร้าง เเอคเคาใหม่ไปเรื่อยๆ
(2.2) white hat : ลงทุน ลงแรง ออกเเบบเว็บ พัฒนา content ขยันโปรโมต เห็นผลช้า traffic ไม่หวือหวา แต่ได้ผลระยะยาว
(2.3) gray hat : เว็บลูกผสม เว็บกลุ่มนี้โดยส่วนใหญ่ ใช้ PG สร้างขึ้นมา ประมาณว่าสร้างได้ช้ากว่า black hat
3) ทำเว็บโปรโมตสินค้าพวก Affiliate : ใช้วิธีการ SEO ประหยัดค่า PPC ได้เยอะเลยทีเดียว
4) ทำ PPC จ่ายเมื่อคลิก ( Pay-Per-Click ) อันนี้แบ่งได้ย่อยอีกหลายหมวด เรียงตามลำดับดังนี้
(4.1) ทำ PPC สร้าง Mailing List จากนั้นค่อยหาสินค้า Affiliate มาโปรโมต .. อยากได้เงินเมื่อไหร่ ก็ยิง mail ออกไป
(4.2) ทำ PPC โปรโมตเว็บ MFA ( เริ่มมีปัญหา Adword แต่กับ PPC เจ้าอื่นๆยังทำได้อยู่ )
(4.3) ทำ PPC โปรโมต affiliate พวก pay-per-lead
(4.4) ทำ PPC โปรโมตสินค้า ClickBank
(4.5) ทำ PPC โปรโมตสินค้า CJ / LinkShare
(4.6) ทำ PPC โปรโมตสินค้า Amazon
5) ทำเว็บ contextual ad รายอื่น ที่ไม่ใช่ Adsense เช่น Adbrite, Miva, Kontera
6) MLM ส่วนใหญ่ทำเงินกันไม่ค่อยได้ ไม่หวือหวา
7) Ebay ทําตลาดอีเบย์ forex trading (ขึ้นอยู่กับความสามารถ ได้บ้างเสียงบาง ก็ลองๆก้นไปครับ)
9) glambling, bet site (ขึ้นอยู่กับโปรโมตไซต์ พวกหาเงินคาสิโนทั้งหลาย)
10) hyip (ตาดีได้ตาร้ายเสีย ได้เงินภายในชั่วข้ามคืนและเสียได้ภายในชั่วข้ามวัน)
11) surf เสี่ยงน้อยกว่าอันบนหน่อย แต่ก็พอๆกัน
จะต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
1. เป็นคนละเอียด รอบคอบ มีความคิดสร้างสรรค์ พอสมควร
2. รู้จักสังเกตุ และติดตามสถานการณ์
3. ไม่จําเป็นต้องมีความรู้คอมพิวเตอร์ขั้นเทพ แต่ใช้อินเตอร์เน็ตได้ก้พอ
4. มีทุนสักเล็กน้อย หรือ ไม่ต้องก็ได้ สําหรับการเริ่มต้น อาจใช้ของฟรีไปก่อน ศึกษาไปก่อนครับ
5. สุดท้าย คือ ต้องอึด อย่าท้อไปก่อนละกันครับ
ุ6. ต้องสร้างเครื่อข่ายเยอะๆ
7. ทำงานอย่างเป็นระบบ

ขอให้รวยๆ นะครับ



By kongnakornseo

Google AdSense คืออะไร

Google AdSense คือบริการจาก Google ที่ให้ผู้ที่มีเว็บไซต์ สามารถหารายได้โดยการนำ Code ที่ได้จากการสมัครเป็นสมาชิกของ Google มาใส่ไว้ที่เว็บไซต์ของตนเอง ซึ่ง Code นั้นจะเป็น โฆษณาที่ส่งมาจาก Google โดยโฆษณานั้น ๆ จะเป็นโฆษณาที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่นถ้าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว โฆษณาที่ส่งมาจาก Google ก็อาจเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ โรงแรม,สายการบิน เป็นต้น
โฆษณาที่ส่งมาจาก Google นั้น ๆ มีทั้งแบบ Text ,รูปภาพ และมีหลายขนาด ให้คุณได้เลือก นอกจากนั้นยังสามารถเลือกรูปแบบสีได้ตามความต้องการ เพื่อความเหมาะสมกับเว็บไซต์ของคุณ
แล้วโฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากไหน ??? หลายคงอาจสงสัย โฆษณาต่าง ๆ เหล่านั้นมาจากการทำ Google Adwords ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริการของ Google ที่ให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ ที่ต้องการขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ โฆษณาสินค้าของตนเอง ผ่าน Search Engine ของ google รวมถึงเว็บไซต์อื่นๆ ที่นำ Google Adsense ไปติด เพื่อให้โฆษณาของตนเองอยู่ในตำแหน่งที่เด่น (เมื่อ Search ใน Google) กว่าข้อมูลอื่นที่ได้ผลลัพท์จากการค้นหา
รายได้จาก Google AdSense จะเกิดตอนไหน
จะมีอยู่ 2 กรณีครับคือ
จ่ายเมื่อคลิก (Pay Per Click)
เมื่อคนที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ คลิกที่โฆษณาของ Google AdSense ซึ่งแต่ละคลิกจะได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำ Google Adwords จ่ายให้ Google มากน้อยเท่าไร ถ้าจ่ายให้มากคุณก็จะได้มากด้วยเช่นกัน
จ่ายเมื่อแสดงโฆษณา (Pay Per Impression)
อันนี้จะจ่ายให้คุณเมื่อมีการแสดงโฆษณา ครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่นับว่าจะมีคนคลิกกี่ครั้งก็ตาม คุณจะไม่ได้รายได้จากการคลิก
นอกจากโฆษณาต่าง ๆ แล้ว การแนะนำ บริการต่าง ๆ ของ Gogle เมื่อมีคนใช้บริการ คุณก็จะมีรายได้จากการแนะนำนั้นด้วยซึ่งมีอยู่ดังต่อไปนี้
Google AdSense
• ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณและได้ $5 ภายใน 180 วัน
• ค่าตอบแทน $250 หากภายใน 180 วันถ้าผู้ที่สมัคร Google Adsense ผ่าน Referral ของคุณสามารถทำได้ $100 โดยผู้ที่สมัครต่อจากคุณต้องกรอก PIN ก่อนคุณถึงจะได้รับค่าตอบแทน
• ค่าตอบแทน $2,000 หากคุณมี 25 คนที่สมัครต่อจากคุณภายในระยะเวลา 180 วัน ที่สามารถทำได้มากกว่า $100 คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี)
Google AdWords
• ค่าตอบแทน $5 หากมีผู้ที่สนในลงโฆษณากับ Google Adwords ผ่าน Referred ของคุณและชำระค่าบริการ $5
• ค่าตอบแทน $40 หากผู้ที่ลงโฆษณากับ Google Adwords ใช้บริการโฆษณาและชำระค่าบริการ $100 ภายใน 90 วัน
• ค่าตอบแทน $600 หากมีผู้สมัครผ่านคุณ 25 คนที่ลงโฆษณากับ Google Adwords โดยผู้ที่โฆษณาใครก็ตามที่ชำระค่าบริการมากกว่า $100 ภายใน 90 วัน คุณจะได้รับโบนัสเพิ่มทันที (โบนัสจะได้รับ 1 ครั้ง/ปี
Firefox
คุณจะได้ 1$ เมื่อมีคนดาวน์โหลด Firefox จากเว็บของคุณ แต่ผู้ดาวน์โหลดนั้น ๆ ต้องไม่เคยติดตั้ง Firefox มาก่อน (แต่อย่างไรผมก็ได้แค่ 10 เซ็นต์ ทำไมเป็นแบบนั้น ???)
AdSense for search
คุณจะได้เงินมีคนมาใช้ Googel Search Box จากเว็บของคุณ แล้วคลิกโฆษณาผลลัพท์ที่ได้จากการ Search นั้น ๆ (เว็บไซต์ที่ อยู่ในตำแหน่งสปอนเซอร์ จะอยู่ด้านบน เป็นกรอบที่เด่นชัด) ค่าตอบแทนจะได้มากหรือน้อยขึ้นอยุ่กับ Keyword ที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งจะไม่เท่ากัน
Google Apps
Google Apps คือระบบที่เหมาะสำหรับองค์กรธุรกิจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย ซึ่งในระบบจะมีบริการต่างๆที่สมาชิกในกลุ่มใช้ได้ เช่น อีเมลล์ ระบบการการสนทนาผ่าน Instant Massaging ระบบปฎิทิน ที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช่ร่วมกันได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างภายในสมาชิก ระบบทั้งหมด Google เป็นผู้ให้บริการ โดยที่คุณไม่ต้องลงทุนอุปกรณ์และค่าซอฟท์แวร์แต่อย่างใด รวมถึงไม่ต้องเสียค่าบำรุงรักษา
คุณจะได้รับ $5 จากที่มีผู้สนใจคลิกโฆษณา Google Apps ผ่านเว็บไซด์ของคุณและได้ทำการลงทะเบียนอย่างเสร็จสมบูณณ์ อย่างไรก็ตามหากผู้ที่สนใจไม่ได้สมัคร Google Apps ทันทีก็ตามระบบจะเก็บขอมูลการคลิกโฆษณา Google Apps จากเว็บไซด์ของคุณต่ออีกเป็นเวลา 4 สัปดาห์ นั่นหมายถึงเขาอาจจะสมัครหลังจากนั้นก็ได้ แล้วคุณก็ยังได้รับรายได้อยู่
Google Checkout
Google Checkout คือระบบการจับจ่ายซื้อสินค้าที่สะดวก ปลอดภัยและรวดเร็ว ด้วยระบบการรับชำระของ Google Checkout คุณสามารถทำรายการสั่งซื้อและจ่ายค่าสินค้าตลอดจนตรวจสอบรายการ การสั่งซื้อหรือการจ่ายค่าสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าเว็บไซด์
คุณจะได้รับ $1 ถ้ามีผู้ที่สมัครบัญชี Google Checkout ผ่านการแนะนำจากเว็บไซด์ของคุณ และได้ทำรายการสั่งซื้อสินค้าภายใน 90 วันและรายการทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์จนการชำระค่าสินค้าเสร็จสิ้น โดยมูลค่าของสินค้าต้องมีมูลค่า $10 ขึ้นไป ก่อนที่รวมภาษีและค่าขนส่ง ภายใน 7 วัน
ทีนี้ก็รู้จัก Google AdSense กันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง

ในขณะนี้ Google Adsense ได้รอบรับภาษาไทย แล้ว

ข้อมูลที่ต้องกรอกในการสมัคร
Website URL: [?] ใส่ชื่อเว็บของคุณ ตัวอย่างเช่น http://www.kongnakornplaza.com/
Website language: เลือกภาษา ให้คุณเลือกเป็น English ครับ
Account type: [?] เลือกประเภทของเว็บคุณ ว่าเป็นเว็บส่วนตัว หรือเว็บเกี่ยวกับธุรกิจ
Country or territory: เลือกประเทศ ในที่นี้เลือกประเทศไทยครับ
Payee name (full name): ใส่ชื่อผู้รับเงิน
** หมายเหตุ คุณไม่สามารถเปลี่ยนชื่อผู้รับเงิน และประเทศได้ หลังจากที่คุณสมัคร ให้ดูดี ๆ ว่ากรอกถูกต้องหรือไม่
Address line 1: , Address line 2 (optional): ใส่ที่อยู่
City: แขวง/ตำบล
State, province or region: จังหวัด
Zip or postal code: รหัสไปรณีย์
Phone: เบอร์โทรศัพท์ เช่น 02-2345868 ก็ให้กรอก 6622345868 หรือ 04-0077562 ก็เป็น 6640077562
Fax (optional): เบอร์ Fax
Email preference: ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกครับ (อันนี้ Google จะส่งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงทิปต่าง ๆ มาให้คุณครับ)
Product(s): [?] ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกทั้ง 2 อันเลยครับ ทั้ง AdSense for Content และ AdSense for Search
Policies ให้ติ๊กเครื่องหมายถูกทั้งหมดเลยครับ อันนี้เป็นข้อตกลงของ Google เช่น จะไม่คลิกโฆษณาบนเว็บของตัวเอง หรือให้คนอื่นคลิก ,ไม่โฆษณาในเว็บที่ไม่เหมะสม ลามกอนาจาร เป็นต้น
Email address: ใส่อีเมล์ของคุณ
Password: ใส่รหัสผ่าน (7 ตัว หรือมากกว่านั้น)
Re-enter password: ใส่ รหัสผ่าน ซ้ำอีกครั้ง
** หมายเหตุ ข้อมูลของคุณต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
เมื่อกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ครบแล้วให้คลิกที่ Submit Information
หลังจากนั้นให้คุณไปเช็คอีเมล์ที่ได้สมัครไว้ เพื่อยืนยัน เมื่อยืนยันแล้วให้รอประมาณ 2-3 วัน เพื่อ Google ตรวจสอบข้อมูลของคุณ และจะส่งอีเมล์มาแจ้งว่าคุณสมัครผ่านหรือไม่ ถ้าคุณผ่านการสมัครแล้ว ก็ให้อ่าน วิธีเอา Code ไปติดที่เว็บคุณ ต่อนะครับ
เว็บไซต์ที่ Google ห้ามไม่ให้สมัคร (ถึงสมัครไปก็ไม่ผ่าน)
• ความรุนแรงต่อต้านบุคอื่นกลุ่มหรือองค์กร
• Hacking
• Spam Keyword
• เว็บไซต์การพนัน
• โฆษณาทำเพื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีเนื้อหาอย่างอื่นเลย
• เนื้อหาที่ผิดกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์
• สิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้ บุคคลที่สามมาแสวงหาผลประโยชน์
• อาวุธสงคราม
• ขายเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล
• บุหรี่
• การปลอมแปลงสินค้า
• เวปที่โกหกหลอกหลวง
• เว็บลามกอนาจาร


By kongnakornseo

PageRank คืออะไร สำคัญอย่างไร

Google's PageRank คืออะไร? สำคัญอย่างไร?
แนวคิดของ PageRank

สวัสดีครับ เพื่อนๆ วันนี้ผมจะอธิบายถึง แนวคิดของ PageRank ว่ามีความสำคัญอย่างไร ครับอย่างที่รู้ๆกันสำหรับผู้ที่มีเว็บไชต์ ส่วนมากก็ต้องการที่จะ ทำให้เว็บเรา มีคนมาดูเยอะๆ ใช้ไหมครับ แต่จะทำอย่างไร ละ ก่อนอื่นต้อง รู้ก่อนว่า เว็บที่ให้บริการ สืบค้น อาทิเช่น Google ,Yahoo เขาต้องการข้อมูลอะไรจากเรา เรามีข้อมูลอะไร  หลักง่ายครับ ยกตัวอย่างหากผม ต้องการไปเที่ยวที่ใหนชักที่ ผมก็ต้องการ ข้อมูลสถานที่นั้นๆ ใช้ไหม ครับ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรละ ก็ต้องสืบค้น ใช้ไหมครับ ข้อมูลที่เราสืบค้นต้องเป็นข้อมูลที่เราต้องการจริง ไม่ใช้ พบข้อมูลที่ เราต้องการ มาฟังกันครับ

           ตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นของเวิลด์ไวด์เว็บ เครื่องมือที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล มีความสำคัญมากเพราะข้อมูลต่างๆเหล่านั้นอยู่อย่างกระจัดกระจ่าย จำเป็นต้องมีเครื่องมือช่วย สืบค้นข้อมูล จึงได้มีกำเนิด เครื่องมือสืบค้นขี้นมาและได้มีการพัฒนาวิธีการที่แตกต่างกันในการจัดอันดับความสำคัญ ของหน้าเว็บ จนถึงการเกิดขึ้นของการค้นหา วลีภายในเอกสารซึ่ง ในเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในเทคนิคการจัดอันดับของแทบเครื่องมือค้นหาใด ๆ การเกิดขึ้นของการค้นหาวลี จึงมีความสำคัญในการค้นหาขอมูล ดังนั้งจึงต้องให้ความสำคัญกับ ความยาวของเอกสาร (การจัดอันดับโดยใช้ความสำคัญของคำที่เราสืบค้น) หรือโดยการเน้น หัวข้อหลัก ภายในเอกสารโดยใช้ แท็ก (แท็ก เปรียบเสมือนกับสารบัญในหนังสือนั้นเองครับ)

       ฉนั้น หากเราได้ทำการ เขียนบทความหรือหนังสือชักเล่มเรา ก็ต้องรู้วัตถุประสงค์ที่เราจะสื่อสารอะไรออก ไปต้องการบอก อำไร กับใคร ที่ใหน อย่างไร และคนเหล่านั้นจะรู้ได้อย่างไร หาดูได้จากที่ไหน เข้าถึงข้อมูลนี้ได้อย่างไร ใช้ไหมละครับ          

1. Google PageRank คือวิธีการวัดความสำคัญของเว็บเพจนับล้าน ๆ เว็บเพจบนอินเตอร์เน็ท โดยมีตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 10 ยิ่งตัวเลขยิ่งสูง PageRank ก็ยิ่งสูง นั่นหมายความว่าเว็บไซต์นั้นๆมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าเว็บไซต์ที่มี PageRank ต่ำกว่า
โดยเราสามารถทราบค่า PR ของเว็บไซต์เราได้ โดย download และ install google toolbar (http://toolbar.google.com) หลังจากนั้นคุณจะสามารถดูคะแนน PR ของคุณที่จัดโดย google ได้
ถ้าไม่ต้องการ install google toolbar สามารถ check ค่า PageRank ได้ที่เว็บไซต์ www.pagerank.net
** หัวใจ ของ Page Rank คือ แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ ให้มาก และถ้าเป็นเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บเรา และ เป็นเว็บที่มีค่า PR สูง ยิ่งทำให้เว็บไซต์เรามีค่า PR สูงขึ้นด้วย

2. ค่า PR นั่นแสดงค่าทุกๆหน้าของเว็บไซต์เราใช่หรือไม่ ?
ค่า PR ของแต่ละเว็บเพจ ในเว็บไซต์หนึ่งๆ นั้นจะมีค่าแตกต่างกันไป ทั้งนี้ โดยมากโฮมเพจ มักมีค่า PR สูงกว่าหน้าอื่นๆ แต่ก็ไม่เสมอไป

3. Google คำนวณค่า PR อย่างไร ?
ค่า PR ถูกคำนวณ โดยจำนวนลิงก์ของเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อมลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ (Inbound Link) ทั้งนี้คำนึงถึงคุณภาพ (คุณภาพของลิงก์หมายถึง เว็บเพจที่ลิงก์มาหาคุณมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณ ) และค่า PR ของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังเว็บไซต์คุณด้วย ยิ่งเว็บไซต์ที่ลิงก์มาหาคุณมี PR สูงๆ ค่า PR ของเว็บคุณก็มีแนวโน้มที่จะสูงตามไปด้วย ค่า PageRank นั้นใช้วิธีการเดียวกับระบบการโหวต หนึ่งลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งมีค่า PR สูงเท่าใด Google ยิ่งเห็นความสำคัญของเว็บเพจนั้นๆมากยิ่งขึ้น และหากมีลิงก์มาจำนวนมากลิงก์มายังเว็บไซต์คุณ ค่า PR เว็บคุณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

4. ทำอย่างไรถึงจะได้ค่า PR เพิ่มขึ้น ?
ค่า PR นั้นจะเพิ่มขึ้นได้ในแต่ละขั้นจาก 1 ไป 2 , จาก 2 ไป 3,... , จาก 9 ไป 10 นั้น มีกฏเกณฑ์ที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน แต่ไม่ได้เป็นลักษณะเช่น คุณมีเว็บที่เชื่อมโยงลิงก์มาหาเว็บไซต์ คุณจาก 50 inbound link เป็น 100 inbound link (เพิ่มขึ้น 50 หน่วย) เว็บเพจนั้นๆอาจมีค่า PR เพิ่มขึ้นจาก 2 เป็น PR 3 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ค่า PR 3 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น PR 4 โดย ที่คุณมี inbound link เพิ่มจาก 100 เป็น 150 (เพิ่มขึ้น 50 หน่วย) เสมอไป อาจต้องมี inbound link เพิ่มขึ้นถึง 200 หน่วย ค่า PR ถึงจะเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นในค่า PR ในแต่ละขั้นนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้ ความพยายามเป็นอย่างมาก

5. การเพิ่มหน้าเว็บเพจที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ส่งผลให้ค่า PR เพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
คำตอบคือไม่ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วคือ หากคุณสามารถทำให้มีเว็บลิงก์มายังเว็บคุณได้มากขึ้นเท่าไหร่ PR ของเว็บคุณก็จะสูงมากขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากคุณนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในเว็บเพจนั้นๆ นั่นหมายความว่า คุณอาจได้รับการขอแลกลิงก์จากเว็บมาสเตอร์คนอื่นๆมายังเว็บไซต์คุณก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเพิ่มจำนวนลิงก์ให้มากขึ้นในที่สุด

6. เนื้อหาของเว็บเพจที่ลิงก์มายังเว็บไซต์คุณ มีผลอย่างไรต่อค่า PR ?
หากเว็บเพจที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บคุณ มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับเว็บไซต์คุณมากเท่าใด Google จะพิจารณาให้ค่า PR ของเว็บคุณสูงยิ่งขึ้น

7. หากเว็บเพจที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บไซต์เรามี ค่า PR ต่ำ จะส่งผลกระทบต่อค่า PR ของเว็บไซต์เราหรือไม่ ?
การที่มีเว็บเพจเชื่อมโยงมาหาเว็บคุณจำนวนมากขึ้นนั้น โดยที่เว็บเพจนั้นๆมีค่า PR ระหว่าง 0-3 จะไม่ส่งผลกระทบต่อค่า PR ของเว็บคุณในทันที แต่เหมือนกับสะสมคะแนนไปเรื่อยๆ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งเว็บเพจที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์คุณมีเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับเว็บไซต์คุณมากเท่าใด ยังส่งผลดีมากกว่า เว็บเพจที่มีเนื้อหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์คุณเลยแต่มีค่า PR สูง และเชื่อมโยงลิงก์มาหาเว็บคุณ อย่าลืมว่า PageRank เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการจัดลำดับความสำคัญของเว็บเพจหนึ่งๆเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกด้วย

8. เว็บที่มีค่า PR ต่ำๆ จะทำให้ค่า PR ของเว็บไซต์เรา ลดลงหรือไม่ ?
คำตอบคือ ไม่อย่างแน่นอน การแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่มีค่า PR ต่ำ (อาจเป็นเว็บที่เพิ่งเปิดตัว เป็นต้น) แต่มีเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับเว็บไซต์คุณอาจทำให้ PR ของเว็บไซต์ของทั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นพร้อมๆกันก็เป็นไปได้ แต่อย่าเข้าร่วมกับโปรแกรมแลกเปลี่ยนลิงก์ใดๆที่เป็นการโกงเสิร์ชเอนจิ้น ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์คุณถูกถอนออกจากฐานข้อมูลของเสิร์ชเอนจิ้นในทีสุด

9. ค่า PR เราตกลงได้หรือไม่ ?
ค่า PageRank สามารถลดลงได้ หากเว็บไซต์คุณมีจำนวนลิงก์ที่เชื่อมโยงมาหาเว็บไซต์คุณน้อยลง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขึ้นจากเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงมาหาคุณมีค่า PR ลดลงก็เป็นได้









The PageRank Algorithm
The original PageRank algorithm was described by Lawrence Page and Sergey Brin in several publications. It is given by
PR(A) = (1-d) + d (PR(T1)/C(T1) + ... + PR(Tn)/C(Tn))
where
PR(A) is the PageRank of page A,
PR(Ti) is the PageRank of pages Ti which link to page A,
C(Ti) is the number of outbound links on page Ti and
d is a damping factor which can be set between 0 and 1.
So, first of all, we see that PageRank does not rank web sites as a whole, but is determined for each page individually. Further, the PageRank of page A is recursively defined by the PageRanks of those pages which link to page A.
The PageRank of pages Ti which link to page A does not influence the PageRank of page A uniformly. Within the PageRank algorithm, the PageRank of a page T is always weighted by the number of outbound links C(T) on page T. This means that the more outbound links a page T has, the less will page A benefit from a link to it on page T.
The weighted PageRank of pages Ti is then added up. The outcome of this is that an additional inbound link for page A will always increase page A's PageRank.
Finally, the sum of the weighted PageRanks of all pages Ti is multiplied with a damping factor d which can be set between 0 and 1. Thereby, the extend of PageRank benefit for a page by another page linking to it is reduced.
The Random Surfer Model
In their publications, Lawrence Page and Sergey Brin give a very simple intuitive justification for the PageRank algorithm. They consider PageRank as a model of user behaviour, where a surfer clicks on links at random with no regard towards content.
The random surfer visits a web page with a certain probability which derives from the page's PageRank. The probability that the random surfer clicks on one link is solely given by the number of links on that page. This is why one page's PageRank is not completely passed on to a page it links to, but is devided by the number of links on the page.
So, the probability for the random surfer reaching one page is the sum of probabilities for the random surfer following links to this page. Now, this probability is reduced by the damping factor d. The justification within the Random Surfer Model, therefore, is that the surfer does not click on an infinite number of links, but gets bored sometimes and jumps to another page at random.
The probability for the random surfer not stopping to click on links is given by the damping factor d, which is, depending on the degree of probability therefore, set between 0 and 1. The higher d is, the more likely will the random surfer keep clicking links. Since the surfer jumps to another page at random after he stopped clicking links, the probability therefore is implemented as a constant (1-d) into the algorithm. Regardless of inbound links, the probability for the random surfer jumping to a page is always (1-d), so a page has always a minimum PageRank.
A Different Notation of the PageRank Algorithm
Lawrence Page and Sergey Brin have published two different versions of their PageRank algorithm in different papers. In the second version of the algorithm, the PageRank of page A is given as
PR(A) = (1-d) / N + d (PR(T1)/C(T1) + ... + PR(Tn)/C(Tn))
where N is the total number of all pages on the web. The second version of the algorithm, indeed, does not differ fundamentally from the first one. Regarding the Random Surfer Model, the second version's PageRank of a page is the actual probability for a surfer reaching that page after clicking on many links. The PageRanks then form a probability distribution over web pages, so the sum of all pages' PageRanks will be one.
Contrary, in the first version of the algorithm the probability for the random surfer reaching a page is weighted by the total number of web pages. So, in this version PageRank is an expected value for the random surfer visiting a page, when he restarts this procedure as often as the web has pages. If the web had 100 pages and a page had a PageRank value of 2, the random surfer would reach that page in an average twice if he restarts 100 times.
As mentioned above, the two versions of the algorithm do not differ fundamentally from each other. A PageRank which has been calculated by using the second version of the algorithm has to be multiplied by the total number of web pages to get the according PageRank that would have been caculated by using the first version. Even Page and Brin mixed up the two algorithm versions in their most popular paper "The Anatomy of a Large-Scale Hypertextual Web Search Engine", where they claim the first version of the algorithm to form a probability distribution over web pages with the sum of all pages' PageRanks being one.
In the following, we will use the first version of the algorithm. The reason is that PageRank calculations by means of this algorithm are easier to compute, because we can disregard the total number of web pages.
The Characteristics of PageRank
The characteristics of PageRank shall be illustrated by a small example.
We regard a small web consisting of three pages A, B and C, whereby page A links to the pages B and C, page B links to page C and page C links to page A. According to Page and Brin, the damping factor d is usually set to 0.85, but to keep the calculation simple we set it to 0.5. The exact value of the damping factor d admittedly has effects on PageRank, but it does not influence the fundamental principles of PageRank. So, we get the following equations for the PageRank calculation:


PR(A) = 0.5 + 0.5 PR(C)
PR(B) = 0.5 + 0.5 (PR(A) / 2)
PR(C) = 0.5 + 0.5 (PR(A) / 2 + PR(B))
These equations can easily be solved. We get the following PageRank values for the single pages:
PR(A) = 14/13 = 1.07692308
PR(B) = 10/13 = 0.76923077
PR(C) = 15/13 = 1.15384615
It is obvious that the sum of all pages' PageRanks is 3 and thus equals the total number of web pages. As shown above this is not a specific result for our simple example.
For our simple three-page example it is easy to solve the according equation system to determine PageRank values. In practice, the web consists of billions of documents and it is not possible to find a solution by inspection.
The Iterative Computation of PageRank
Because of the size of the actual web, the Google search engine uses an approximative, iterative computation of PageRank values. This means that each page is assigned an initial starting value and the PageRanks of all pages are then calculated in several computation circles based on the equations determined by the PageRank algorithm. The iterative calculation shall again be illustrated by our three-page example, whereby each page is assigned a starting PageRank value of 1.
IterationPR(A)PR(B)PR(C)
0111
110.751.125
21.06250.7656251.1484375
31.074218750.768554691.15283203
41.076416020.769104001.15365601
51.076828000.769207001.15381050
61.076905250.769226311.15383947
71.076919730.769229931.15384490
81.076922450.769230611.15384592
91.076922960.769230741.15384611
101.076923050.769230761.15384615
111.076923070.769230771.15384615
121.076923080.769230771.15384615
We see that we get a good approximation of the real PageRank values after only a few iterations. According to publications of Lawrence Page and Sergey Brin, about 100 iterations are necessary to get a good approximation of the PageRank values of the whole web.
Also, by means of the iterative calculation, the sum of all pages' PageRanks still converges to the total number of web pages. So the average PageRank of a web page is 1. The minimum PageRank of a page is given by (1-d). Therefore, there is a maximum PageRank for a page which is given by dN+(1-d), where N is total number of web pages. This maximum can theoretically occur, if all web pages solely link to one page, and this page also solely links to itself.

By kongnakornseo

Google's Algorithm 2010 Revealed

Google's Algorithm 2010 Revealed
Google's Score = (Kw Usage Score * 0.3) + (Domain * 0.25) + (PR Score * 0.25) + (Inbound Link Score * 0.25) + (User Data * 0.1) + (Content Quality Score * 0.1) + (Manual Boosts) - (Automated & Manual Penalties)
Search Engine Optimization Key Word Usage Factors
* Keyword in title tags
* Rich Header tags
* Documents rich with relevant text information
* Keyword in alt tag
* Key words in internal links pointing to the page
* Key words in the domain and/or URL
* The order key words appear
Domain Strength / Speed
* Domain Strength
* Domain Speed
* Local/specific domain name
* Quality Hosting
Registration history
* When the Domain was registered
* Strength of the links pointing to the domain
* The topical neighborhood of domain based on in and out bound links
* Historical use and links pattern to a domain
* Inbound links and referrals from social media
* Inbound Link Score
Age & Quality of links
* Quality of the domains sending links (non paid)
* Links from Authority Websites
* Quality of pages sending links and relevance
* Anchor text of links
* Link quantity/weight metric (Page Rank or a variation)
* Subject matter of linking pages/sites
* User Data
Historical CTR to page in SERPs
* Time users spend on a page
* Search requests for URL/domain
* Historical visits/use of URL/domain by users
Content Quality Score
* Duplicate content filter
* Order of key words in content
* Content update frequency
* Highlighted and visibility of keywords
* Usability and W3C rules

By kongnakornseo

ขั้นตอนการทำ SEO

Search Engine Optimization (SEO) คืออะไร
Search Engine Optimization (SEO) เป็นการ วิเคราะห์เว็บไซต์ และ ปรับปรุงเว็บไซต์ ด้วยเทคนิคต่างๆ เพื่อให้
ติดอันดับ ต้นๆของเว็บ เสิร์ชเอนจิ้น ชั้นนำของโลก เช่น Google, Yahoo และ MSN ซึ่งการทำ SEO จะแสดงผลลัพธ์ในด้านซ้ายมือเมื่อมีคนเข้ามาค้นหาด้วย คีย์เวิร์ด (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการ
ของเว็บไซต์เรา


นอกจากนั้น การทำ SEO ยังเป็นการรักษาอันดับให้เว็บไซต์ของท่านให้อยู่ในอันดับที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งต้องอาศัย ความชำนาญและผู้เชี่ยวชาญในการทำ SEO ที่มีความรู้เฉพาะทาง โดยทีมงานจะต้องคอยปรับปรุงหลักการทำ SEO
เพื่อให้เข้ากับสูตรหรืออัลกอริธึม (Algorithm) ที่ใช้ในการจัดเรียงอันดับเว็บไซต์ ของ Search Engine
ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

ปัจจุบันทั่วโลก มีผู้ใช้นิยมใช้ Search Engine ทำให้ค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการมากกว่า 80% เมื่อเทียบ
กับสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะในเมืองไทย นั้นนิยมใช้ Google.co.th และ Sanook.com

SEO มีประโยชน์อย่างไรบ้าง
1. การทำ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้สูงขึ้น จากการที่ ติดอันดับแรกๆ ของการค้นหา
2. การทำ SEO ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอย่างไร้ขอบเขต ครอบคลุมทั้งประเทศไทย หรือ ทั่วโลก
3. การทำ SEO ช่วยให้มีคนเข้าชมเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถต่อยอดเว็บไซต์ได้มากมาย เช่น ขายพื้นที่โฆษณา
4. การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของท่าน เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
5. การทำ SEO ค่าใช้จ่ายราคาถูกและคุ้มค่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในสื่ออื่นๆ แต่สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกว่า
6. การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของท่านเป็นที่จดจำ และมีชื่อเสียง

7. ฯลฯ
ขั้นตอนการทำ SEO (Search Engine Optimization)

1. วิเคราะห์การแข่งขัน โดยดูจาก การค้นหา คีย์เวิร์ดของเราเทียบกะคู่แข่ง
2. เลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม
3. ปรับแต่งเนื้อหาภายในเว็บ
4. เขียนเนื้อหาให้ตรงกับ อัลกอริทึ่ม ของแต่ละ search engine
5. การออกแบบเว็บให้ search engine เข้าถึงได้สะดวก
6. การลงทะเบียนกับ search engine ต่างๆ
7. การสร้างลิงค์ให้กับเว็บไซต์ ในเว็บเรา และเว็บอื่นๆ
8. ติดตามประมวลผล การเลื่อนลำดับ เวลาค้นจาก Search Engine แต่ละที่


How to makes traffic for your site

1. Submit to the directories and receive quality incoming links
2. Link exchanges (PR4 up, เนื้อหาใกล้เคียงของเรา)
3. Keep adding quality content (เนื้อหามีคุณภาพ, no broken link, insert keyword all pages)
4. High demand, low supply keywords (เช็คคีย์เวิร์ดที่นิยม, หาคำที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเว็บเรา http://www.th-store.com/modules/seo-tools/Keyword-Playground.php)
5. Help and be helped with forum chat
6. Spending a little more money on PPC advertising
7. Article submission , News Group
8. Build relationships with newsletters

เครื่องมือที่นัก SEO และ SEM เขามีไว้ทำการปรับปรุง พัฒนาเว็บกันครับ

1. http://www.marketleap.com/publinkpop

(เป็นเว็บที่ใช้ในการตรวจสอบ ปริมาณลิงค์จากเว็บอื่นๆ ว่าเป็นอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือต่างกัน เช็คดูค่า Link Populariry ของคู่แข่งด้วย ลองใช้ดูครับ)

2. โปรแกรมแนะนำคีย์เวิร์ด (แนะนำที่ใช้ฟรีละกัน)

3. เพิ่มลิงค์ในหน้า Search Engine ต่างๆ

4. เว็บไซต์ที่รับแลกลิงค์แบนเนอร์

5. เว็บบริการจัดอันดับ Top 100

เว็บไซต์ช่วยในการทำ SEO


1. http://www.marketleap.com/publinkpop
2. http://www.google.com/webhp?complete=1&hl=en
3. http://adwords.google.com/select/Keyword
4. http://www.wordtracker.com/
5. http://www.keyworddiscovery.com/
6. http://truehits.net/index_keyword.php
7. http://www.checkyourlinkpopularity.com/

เว็บไซต์ช่วยเช็คอันดับของคีย์เวิร์ด


1. http://www.webposition.com/
2. http://www.webceo.com/
3. http://www.axandra.com/
4. http://www.google.com/apis
5. http://www.digitalpoint.com/tools/keywords
6. http://www.yahoosearchtracking.com/
7. http://www.prsearch.net/msnmass.php
8. http://www.seo-guy.com/seo-tools/se-pos.php

เว็บไซต์รายงานการแสปม


1. http://www.google.com/contact/spamreport.html
2. http://add.yahoo.com/fast/help/us/ysearch/cgi_reportsearchspam
3. http://feedback.searc.msn.com/eform.aspx?productkey=searchweb&page=search_feedback_form

คำแนะนำสำหรับเว็บมาสเตอร์


1. http://www.google.com/webmasters/guidelines.html
2. http://www.google.com/webmasters/seo.html
3. http://help.yahoo.com/help/us/ysearch/basics/basics-18.html
4. http://searchenginewatch.com/
5. http://www.seobook.com/
6. http://www.searchenginelowdown.com/
7. http://www.seroundtable.com/
8. http://www.webmasterworld.com/
9. http://forums.seochat.com/
10.http://livepr.raketforskning.com/
11.http://www.marketleap.com/siteindex/default.htm
12.http://www.prsearch.net/index.php
13.http://123promotion.co.uk/tools/robotstxtgenerator.php
14.http://www.sxw.org.uk/computing/robots/check.html
15.http://www.copyscape.com/ (ดูว่าเว็บไหนลอกเนื้อหาเว็บเรา)
16.http://www.searchwho.com/sw5-spider.html
By http://help.tht.in/h_view.html

คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์

คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
  เนื้อหาประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้

ความหมายของซอฟต์แวร์และหน้าที่ของซอฟต์แวร์
ประเภทของซอฟต์แวร์
ข้อดี - ข้อเสียระหว่างการจัดจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์กับการจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปในองค์กร
กฎหมายลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์
 บทนำ

 ในปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินชีวิต ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น งานคำนวณ งานวิเคราะห์ งานวางแผน งานออกแบบ งานด้านวิทยาศาสตร์ งานด้านการแพทย์ ในยุคแรก ๆ นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องอาศัยมนุษย์เป็นผู้ควบคุมการปฏิบัติงานของเครื่อง ต่อมาได้มีการพัฒนาการสร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมคำสั่งงานต่าง ๆ ที่มนุษย์ต้องการเพื่อสั่งให้เครื่องทำงานแทน โปรแกรมหรือชุดคำสั่งนี้ เรียกว่า ซอฟต์แวร์ (Software) โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่จะสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานจะต้องมีรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อให้เครื่องปฏิบัติตามจนได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ โปรแกรมนี้จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำภายในซีพียู หลังจากนั้นเครื่องจะทำงานด้วยตนเองตามโปรแกรมภายใต้การควบคุมของหน่วยควบคุม
 ความหมายของซอฟต์แวร์และหน้าที่ของซอฟต์แวร์

 ซอฟต์แวร์ (Software) หมายถึง รายละเอียดของชุดคำสั่ง (Instructions) ที่เขียนขึ้นอย่างมีลำดับขั้นตอนเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
 หน้าที่ของซอฟต์แวร์ต่อการบริหารองค์กร มีดังนี้

 - จัดการเกี่ยวกับทรัพยากรภายในองค์กร

 - เป็นเครื่องมือในการสร้างความได้เปรียบของทรัพยากรที่มีต่อคู่แข่งขัน

 - เป็นสื่อกลางระหว่างองค์กรและการเก็บสารสนเทศภายในหน่วยงาน

 ประเภทของซอฟต์แวร์ สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ

 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)

 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)

  1 ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ประสานกัน และควบคุมลำดับขั้นตอนการทำงานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ระบบที่นิยมแพร่หลาย ได้แก่ DOS, UNIX, WINDOWS, SUN, OS/2, NET WARE เป็นต้น
 ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ (System Software)

 โปรแกรมระบบปฏิบัติการ (Operating Systems : OS) หรือ Supervisory Programs หรือ Monitors Programs เป็นโปรแกรมที่สำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งและมีความสลับซับซ้อนมาก ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถควบคุม (Control) การปฏิบัติงานของเครื่องได้เองโดยอัตโนมัติ และดูแลตรวจตราทุก ๆ การทำงานของฮาร์ดแวร์ในระบบคอมพิวเตอร์ นับตั้งแต่เปิดเครื่องจนกระทั่งปิดเครื่อง ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างซอฟต์แวร์กับฮาร์ดแวร์
 หน้าที่หลัก ๆ ของโปรแกรมระบบปฏิบัติการ มีดังนี้

 1) การจองและการกำหนดการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์

 2) การจัดตารางงาน (Scheduling)

 3) การติดตามผลของระบบ (Monitoring)

 4) การทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน (Multiprogramming)

 5) การจัดแบ่งเวลา (Time Sharing)

 6) การประมวลผลหลายชุดพร้อมกัน (Multiprocessing)

 ประเภทของโปรแกรมระบบปฏิบัติการ

  1) โปรแกรมที่ทำงานทางด้านควบคุม (Control Programs) หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องที่สำคัญ ได้แก่
 a. Supervisor การจัดการทั่วไปเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ จะอยู่ภายใต้ ความควบคุมของ Supervisor ซึ่งอยู่ในหน่วยความจำหลักในซีพียูและทำหน้าที่ประสานงานกับส่วนอื่น ๆ ของโปรแกรมควบคุมระบบ เมื่อใดที่โปรแกรมภายใต้ระบบปฏิบัติการถูกเรียกมาใช้งาน Supervisor จะส่งการควบคุมไปยังโปรแกรมนั้น เมื่อการทำงานสิ้นสุดลง โปรแกรมดังกล่าวจะส่งการควบคุมกลับมายัง Supervisor อีกครั้ง
 b. โปรแกรมควบคุมงานด้านอื่น ๆ (Other Job/Resource Control Programs) ได้แก่ โปรแกรมที่ควบคุมเกี่ยวกับลำดับงาน ความผิดพลาดที่ทำให้การหยุดชะงักของโปรแกรม (Interrupt) หรือพิมพ์ข้อความหรือข่าวสารให้แก่ผู้ควบคุมเครื่องทราบเมื่อมีข้อผิดพลาด หรือต้องการแจ้งให้ทราบถึงสถานภาพของอุปกรณ์รับส่ง เป็นต้น
  2) ระบบปฏิบัติการของไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer Operating System) จะมี ลักษณะเฉพาะโดยขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการและฮาร์ดแวร์ โปรแกรมสำเร็จรูปไม่สามารถใช้ข้ามระบบปฏิบัติการได้ เช่น โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้บนระบบปฏิบัติการ MS - DOS จะไม่สามารถนำไปใช้บน Windows ได้ ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ได้แก่
 a. MS - DOS (Microsoft Disk Operating System) เป็นโปรแกรมควบคุม ระบบปฏิบัติการ พัฒนาในช่วงปีค.ศ. 1980 จากบริษัท Microsoft พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับงานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microprocessor รุ่น 8086, 8088, 80286, 80386, 80486 สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM Compatible ทั่วไป มี 2 เวอร์ชัน (Version) ได้แก่ PC-DOS และ MS-DOS ดอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนประสานกับผู้ใช้ (User Interface) เป็นแบบป้อนคำสั่ง (Command - line User Interface) MS - DOS นั้นจะมีส่วนประกอบโปรแกรม 3 ส่วน คือ IO.SYS MS - DOS.SYS และ COMMAND.COM ทั้ง 3 โปรแกรมจะทำหน้าที่ในการจัดการทำงานทุกอย่างในระบบ สำหรับ MS - DOS.SYS และ IO.SYS นั้นเป็นไฟล์ระบบและถูกซ่อนไว้ในขณะที่เราสั่งงาน
 IO.SYS เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ป้อนเข้า (Input Device) และอุปกรณ์แสดงผล (Output Device) เช่น แป้นพิมพ์ จอภาพ และเครื่องพิมพ์ เป็นต้น
 MS - DOS.SYS เป็นส่วนที่ใช้ในการเข้าถึง (Access) โปรแกรมย่อย (Routine) ต่าง ๆ ของดอส เมื่อโปรแกรมมีการเรียกใช้รูทีนเหล่านั้น ตัว MS - DOS.SYS จะรับข้อมูลต่าง ๆ จากโปรแกรมต่าง ๆ ผ่านจากรีจิสเตอร์ทำการควบคุมการทำงาน (Control Block) และจัดพารามิเตอร์ในการเรียกใช้ IO.SYS ให้ทำงานตามที่ต้องการ
 COMMAND.COM ทำหน้าที่เป็นตัวประสาน คอยรับคำสั่งจากผู้ใช้ผ่านทางแป้นพิมพ์ เพื่อส่งผ่านคำสั่งไปยังคอมพิวเตอร์ เปรียบเสมือนตัวเชื่อมผู้ใช้กับโปรแกรมจัดระบบ
 คำสั่งในระบบ MS - DOS จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

 - คำสั่งภายใน (Internal Command) เป็นคำสั่งที่มีอยู่แล้วภายในระบบ เช่น คำสั่ง DIR (Directory) เป็นการเรียกข้อมูลจากหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง ขึ้นมาดูเพื่อค้นหาแฟ้มข้อมูล คำสั่ง COPY เป็นการสำรองข้อมูลไว้ REN (Rename) เป็นการเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูลโดยที่ข้อมูลภายในยังคงเหมือนเดิม คำสั่ง TYPE เป็นการเรียกดูรายละเอียดของข้อมูลแต่ละแฟ้มขึ้นมาดู แต่แฟ้มนั้นจะต้องอยู่ในรูปของข้อความ (Text File) และคำสั่ง CLS (Clear) เป็นคำสั่งลบข้อความบนจอภาพ โดยที่ข้อมูลที่อยู่ภายในแฟ้มจะไม่หาย เป็นต้น
 - คำสั่งภายนอก (External Command) คำสั่งประเภทนี้ต้องเรียกใช้จากแผ่นโปรแกรมหรือจากหน่วยความจำสำรองที่ได้สร้างเก็บคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้หากไม่มีก็จะไม่สามารถเรียกคำสั่งขึ้นมาใช้ได้ เช่น คำสั่ง CHKDSK (Check Disk) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบหน่วยเก็บข้อมูลสำรองว่ามีพื้นที่ในการเก็บเท่าใด ใช้ไปเท่าใด คงเหลือเท่าใด และมีส่วนหนึ่งส่วนใดของหน่วยเก็บข้อมูลสำรองเสียหรือไม่
 คำสั่ง FORMAT เป็นการจัดเตรียมโครงสร้างภายในแผ่นหรือจานแผ่นเหล็ก เป็นการวิเคราะห์แผ่นจานแม่เหล็กสำหรับตำแหน่ง (Track) ที่เสีย
 b. Windows 3.X ประมาณต้นปี ค.ศ. 1990 บริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิต Windows 3.0 ซึ่งนำมาใช้การทำงานระบบกราฟิกเพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานง่ายและสะดวกเรียกว่า GUI (Graphic User Interface) โดยใช้ภาพเล็ก ๆ เรียกว่า ไอคอน (Icon) และใช้เมาส์ (Mouse) แทนคีย์บอร์ด (Key Board) นอกจากนี้ Windows 3.0 ขึ้นไป ยังสามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานโปรแกรมได้มากกว่าหนึ่งโปรแกรมในขณะเดียวกันเรียกว่า Multitasking ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows ขึ้นมามี 3 เวอร์ชัน (Version) ได้แก่ Windows 3.0, Windows 3.1 และ Windows 3.11
 c. Windows 95 ต่อมาในปี ค.ศ. 1995 บริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิต Windows 95 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ทำงานแบบหลายงาน (Multitasking) การทำงานในลักษณะเครือข่าย (Network) Windows 95 มีคุณลักษณะเด่น ดังนี้
 - มีระบบติดต่อกับผู้ใช้โดยแสดงเป็นกราฟิก (Graphical User Interface :GUI)
 - มีความสามารถในการเปิดเอกสารได้ครั้งละหลายไฟล์ และสามารถใช้โปรแกรมหลาย โปรแกรมในเวลาเดียวกัน
 - มีโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสซิ่ง เรียกว่า Word Pad โปรแกรมวาดรูป และเกม
 - เริ่มมีเทคโนโลยี Plug and Play และสนับสนุนการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย อินเทอร์เน็ต โดยติดตั้ง Windows 95 ไม่จำเป็นต้องติดตั้งที่ MS-DOS ก่อน แต่สามารถใช้งานร่วมกับ MS-DOS ได้
 - สามารถใช้แอปพลิเคชันที่รันบน Windows 3.1 ได้เลยโดยไม่ต้องแก้ไข และซอฟต์แวร์ที่รันบน Windows 95 มีความสามารถส่ง Fax และ E - mail ได้
 d. Windows 98 เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของ Windows 95 ระบบปฏิบัติการ Windows 98 เป็นระบบที่สนับสนุนการทำงานของโปรแกรมต่าง ๆ บน Windows โดยเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมีประสิทธิภาพ
 e. Windows Millennium Edition หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Windows ME" ใน เวอร์ชันนี้พัฒนามาจาก Windows 98 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเวอร์ชันเก่า มีการสนับสนุนการทำงานแบบมัลติมีเดียมากขึ้น
 f. Windows NT เป็นระบบปฏิบัติการในส่วนของเครือข่าย (Network) คล้าย กับ Windows 95 พัฒนามาจาก LAN Manager และ Windows for Workgroup โดย Windows NT มี 2 เวอร์ชัน ได้แก่ Windows NT Server และ Windows NT Workstation โดยที่ Server จะทำหน้าที่ระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่คอยให้บริการแก่เครื่องที่เป็น Workstation
 คุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ Windows NT มีดังนี้

 - สามารถใช้กับตัวประมวลผล (Processor) ได้หลายแบบ ทั้ง Pentium, DEC และ Alpha โดยย้ายรูปแบบโปรแกรมข้ามระบบได้
 - สามารถเพิ่มขยายหน่วยความจำได้ถึง 4 จิกกะไบต์ (4 GB)

 - ทำงานได้ในลักษณะหลายงานพร้อมกันและสามารถเปลี่ยนแปลงรายการแบบพหุคูณ หรือหลายรายการพร้อมกัน (Multithreading)
 - สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวประมวลผล (CPU) มากกว่า 2 โปรเซสเซอร์

 - สามารถสร้างระบบแฟ้มของตนเองเป็นแบบ NTFS ซึ่งแต่เดิมจะเป็นแบบ FAT (File Allocation Table) เพียงอย่างเดียว
 - สามารถสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีจานแม่เหล็กหลายตัวต่อเป็นชุด ซึ่งเรียกว่า RAID (Redundant Aray of Inerpenside Disks)
 - มีระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลโดยสร้างรหัสผ่านให้กับผู้ใช้แต่ละคน และ สามารถกำหนดวันเวลาในการใช้งาน
 - โปรแกรมที่ใช้ระบบ DOS ก็สามารถจะนำมาใช้งานบน Windows NT ได้
 g. Windows 2000 Professional / Standard เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการ พัฒนาให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ใช้งานลักษณะเป็นกราฟิก เช่น มีโปรแกรม Windows Installation Service ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการติดตั้งหรืออัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมได้ง่ายและมีการจัดการระบบตลอดจนมีการบริหารแม่ขายแบบรวมศูนย์ เหมาะสำหรับใช้ในงานสำนักงานมากกว่าที่จะใช้ที่บ้าน จุดเด่นของ Windows 2000 คือ การต่อเชื่อมระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงและสนับสนุน Multi Language
 h. Windows XP เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านการ ทำงานร่วมกับ Internet Explorer 6 และ Microsoft Web Browser Windows XP มี 2 รูปแบบด้วยกัน คือ Windows XP Home Edition และ Windows XP Professional Edition
 i. Mac OS X ระบบปฏิบัติการ Macintosh Operating System เป็นระบบ ปฏิบัติการของเครื่องแมคอินทอช เป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการทำงานแบบ GUI ในปี ค.ศ. 1984 ของบริษัท Apple ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นระบบปฏิบัติการ Mac OS โดยเวอร์ชันล่าสุดมีชื่อเรียกว่า Mac OS X เหมาะสมกับคอมพิวเตอร์ที่ผลิตโดยบริษัท Apple และมีความสามารถในการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน (Multitasking) เหมาะกับงานในด้านเดสก์ทอปพับลิชชิ่ง (Desktop Publishing)
 j. OS/2 Warp Client พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท IBM ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ PS/2 ข้าสู่ตลาดก็ได้ติดต่อบริษัทไมโครซอฟต์ พัฒนาระบบปฏิบัติการตัวใหม่เป็น ระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องลูกข่าย สามารถทำงานแบบการทำงานหลายงาน (Multitasking) ได้ มีลักษณะการทำงานแบบดอสมากกว่า Windows สนับสนุนการทำงานแบบเครือข่าย มีขีดความสามารถติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิกแต่ OS/2 ที่ผลิตออกมาในขณะนั้นไม่เป็นที่นิยม เพราะต้องใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่ และโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับ OS/2 ก็มีน้อย
 k. UNIX เป็นระบบปฏิบัติการที่ใหญ่ สามารถใช้งานในลักษณะการทำงาน หลาย ๆ โปรแกรมพร้อมกัน (Multitasking) และเป็นแบบมัลติยูสเซอร์ (Multi-User) คือ มีผู้ใช้หลาย ๆ คนพร้อมกัน เป็นระบบที่พัฒนามาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น เครื่องเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์และเวิร์กสเตชั่น (Workstation) เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ธรรมดา ๆ ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการ UNIX สามารถทำงานรองรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มี User ต่อเชื่อมเข้ามาได้มากถึง 120 ตัว ไปพร้อม ๆ กันและเหมาะสมสำหรับระบบเน็ตเวิร์ก (Network) นอกจากนั้นยังสามารถเคลื่อนย้ายงานและแอพพลิเคชั่นไปมาระหว่างแพลทฟอร์มได้ และสามารถย้ายงานที่รันอยู่บนDOS หรือ Windows มาใช้บนระบบปฏิบัติการ UNIX ได้ นอกจากนี้ยังมียูทิลิตี้ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ UNIX อีกด้วย
 l. LINUX เป็นระบบปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายกับ UNIX พัฒนาขึ้นมาเพื่อ แจกจ่ายให้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC ระบบปฏิบัติการลินุกซ์ทะเล (Linux TLE) เกิดขึ้น เนื่องจากระบบปฏิบัติการลินุกซ์หลายค่ายจากต่างประเทศยังใช้งานภาษาไทยได้ไม่ดีเท่าที่ควร และการติดตั้งภาษาไทยก็ยุ่งยากพอสมควร จึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการนำลินุกซ์มาใช้งาน จากปัญหาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ซึ่งมีราคาสูง ทำให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ได้ตั้งทีมออกแบบพัฒนาให้ใช้งานภาษาไทยและสามารถนำมาใช้งานแทน Windows ได้ ให้ชื่อว่า Linux TLE (Thai Language Extension) หรือ ลินุกซ์ทะเล และเป็นการพัฒนาโดยคนไทยซึ่งต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์กลางที่มีภาษาไทยเสริม ภายใต้มาตรฐานสากล TLE จึงเป็นตัวแทนของจุดประสงค์ของการพัฒนา และแสดงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ให้สอดคล้องกับที่มาและสามารถเข้าใจได้ในเวทีสากล ลินุกซ์ทะเลได้พัฒนาระบบภาษาไทยให้ใช้งานได้ดีถึง 100% มีระบบการตัดคำที่อ้างอิงจากดิกชันนารี เพิ่มฟอนต์ภาษาไทยประเภทบิตแมปอีก 20 ฟอนต์ รวมทั้งฟอนต์แบบ True - Type สนับสนุนมาตรฐาน TIS620 เป็นฟอนต์ไทยซึ่งทาง NECTEC ได้จดลิขสิทธิ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 m. Solaris Solaris เป็นเวอร์ชันหนึ่งของ UNIX พัฒนาโดยบริษัท Sun Microsystems เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่ออกแบบสำหรับงานด้านโปรแกรม E - commerce
  3) ระบบปฏิบัติการสามารถแบ่งออกตามลักษณะการทำงานได้ดังนี้

 a. ระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบ Stand - alone เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือโน๊ตบุ๊ค ที่ทำงานโดยไม่มี การเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น หรือหากมีการเชื่อมต่อเป็นระบบเครือข่าย เช่น LAN หรือ Internet ก็จะเรียกระบบปฏิบัติการนี้ว่า "Client Operating System" ได้แก่ MS - DOS, MS - Windows ME, Windows server 2000, Windows XP, Windows NT, Windows server 2003, UNIX, LINUX, Mac OS, OS/2 Warp Client
 b. ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded Operating System) เป็นระบบปฏิบัติการที่มาพร้อมกับคอมพิวเตอร์ จัดเก็บไว้บนชิพ ROM ของเครื่องมี คุณสมบัติพิเศษ คือ ใช้หน่วยความจำน้อยและสามารถป้อนข้อมูลโดยใช้ สไตล์ลัส (Stylus) ซึ่งเป็นแท่งพลาสติกใช้เขียนตัวอักษรลงบนจอภาพได้ ตัวระบบปฏิบัติการจะมีคุณสมบัติวิเคราะห์ลายมือเขียน (Hand Writing Recognition) และทำการแปลงเป็นตัวอักษรเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้องพบได้ในคอมพิวเตอร์แบบ Hand Held เช่น Palm Top, Pocket PC เป็นต้น ระบบปฏิบัติการชนิดนี้ได้รับความนิยม คือ Windows CE, Pocket PC 2002 และ Palm OS เป็นต้น
 c. ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operating System : NOS) เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบเพื่อจัดการงานด้านการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ให้ สามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้ เช่น เครื่องพิมพ์ ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น ระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะมีลักษณะการทำงานคล้ายกับระบบปฏิบัติการดอส จะแตกต่างในส่วนของการเพิ่มการจัดการเกี่ยวกับเครือข่ายและการใช้อุปกรณ์ร่วมกัน รวมทั้งมีระบบป้องกันการสูญหายของข้อมูล ปัจจุบันระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะใช้หลักการประมวลผลแบบไคลแอนด์เซิร์ฟเวอร์ (Client / Server) คือ การจัดการเรียกใช้ข้อมูลและโปรแกรมจะทำงานอยู่บนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ในขณะที่ส่วนประกอบอื่น ๆ ของระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะทำงานอยู่บนเครื่องไคลแอนด์ เช่น การประมวลผล และการติดต่อกับผู้ใช้
 d. ระบบปฏิบัติการบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ โดยนำมาใช้ในด้านธุรกิจและการศึกษา ซึ่งจะมีผู้ใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก โดยต้องทำการดูแลสั่งงานโปรแกรมพร้อม กันจำนวนหลาย ๆ โปรแกรม (Multitasking) การเข้าใช้งานเครื่องของผู้ใช้จำนวนหลาย ๆ คน (Multi - User) การจัดลำดับและแบ่งปันทรัพยากรให้กับผู้ใช้ ตลอดจนการรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับของผู้ใช้แต่ละคน
 e. ระบบปฏิบัติการแบบเปิด (Open Operating System) สามารถนำไปใช้งานบนเครื่องต่าง ๆ กันได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX) เป็นต้น
  การเลือกใช้ระบบปฏิบัติการกับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ (Selecting a Microcomputer Operating System) เช่น งานพิมพ์เอกสาร งานคำนวณ งานออกแบบ หรืองานทางด้านบัญชี และมีจำนวนผู้ใช้กี่คน จำเป็นต้องใช้ข้อมูลและโปรแกรมต่าง ๆ ร่วมกันหรือไม่ ผู้ใช้แต่ละคนอยู่ที่เดียวกันหรืออยู่คนละแห่ง ประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะตัวประมวลผล ขนาดความจุของหน่วยความจำ โปรแกรมประยุกต์ที่มีใช้อยู่เดิมใช้กับระบบปฏิบัติการชนิดไหน ต้นทุนในการจัดหาระบบปฏิบัติว่ามีมากน้อยเท่าไร และความสามารถในการให้บริการหลังการขายของผู้จัดจำหน่าย ซึ่งแต่ละปัจจัยก็มีผลต่อการตัดสินใจจัดหาระบบปฏิบัติการเพื่อให้เหมาะสมกับองค์การและงบประมาณที่มี
 โปรแกรมภาษา (Language Software) โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่จะสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานนั้นถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาที่เรียกว่า "ภาษาคอมพิวเตอร์" ผู้เขียนโปรแกรม (Programmer) จะต้องเข้าใจถึงกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ของคำสั่ง และวิธีการเขียนโปรแกรมของภาษาคอมพิวเตอร์ที่เลือกใช้เขียนโปรแกรม ปัจจุบันภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมมีอยู่มากมายหลายภาษา เช่น Basic, C, C++, Java เป็นต้น
 โปรแกรมภาษาสามารถแบ่งออกได้ 3 แบบ คือ

 1.ภาษาเครื่อง (Machine Language) เป็นภาษาของเครื่องคอมพิวเตอร์โดยมีโครงสร้างและพื้นฐานเป็นเลขฐาน 2 และตัวสตริง (Strings) ซึ่งเครื่องสามารถเข้าใจและพร้อมที่จะทำงานตามคำสั่งได้ในทันที ไม่จำเป็นต้องมีโปรแกรมแปลภาษา คำสั่งของภาษาเครื่องนั้นจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
 a. ส่วนที่บอกประเภทของคำสั่ง (Operation Code หรือ Op-Code) เป็นส่วนที่ จะบอกให้เครื่องประมวลผล เช่น ให้ทำการบวก ลบ คูณ หาร หรือเปรียบเทียบ เป็นต้น
 b. ส่วนที่บอกตำแหน่งของข้อมูล (Operand) เป็นส่วนที่บอกให้ทราบถึง ตำแหน่งหน่วยของข้อมูลที่จะนำมาคำนวณว่าอยู่ในตำแหน่ง (Address) ใดของหน่วยความจำ
 2) ภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Language) ได้ปรับปรุงให้ง่ายขึ้นโดยสร้างรหัส (Mnemonic Code) และสัญลักษณ์ (Symbol) แทนตัวเลขซึ่งเรียกชื่อภาษาว่า ภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ ลักษณะโครงสร้างของภาษาสัญลักษณ์จะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมากคือ ประกอบด้วย 2 ส่วนที่เรียกว่า Op - Code และ Operands โดยใช้อักษรที่มีความหมายและเข้าใจง่ายแทนตัวเลข
 3) ภาษาระดับสูง (High - Level Language) เนื่องจากภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ยังคงยากต่อการเข้าใจของมนุษย์ ประกอบกับความเจริญทางด้านซอฟต์แวร์มีมากขึ้น จึงได้มีการพัฒนาให้เป็นคำสั่งที่มีความหมายเหมือนกับภาษาที่มนุษย์ใช้กัน เพื่อให้สะดวกกับผู้เขียนโปรแกรม เช่น ใช้คำว่า PRINT หรือ WRITE แทนการสั่งพิมพ์ หรือแสดงคำว่าใช้คำว่า READ แทนการรับค่าข้อมูลเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ภาษาระดับสูง ตัวอย่างเช่น Visual Basic, C, C++, Java เป็นต้น
 - คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นโปรแกรมภาษาซึ่งทำหน้าที่แปลคำสั่งในโปรแกรมต้นฉบับที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมระดับสูงตามลำดับของชุดคำสั่งและข้อมูลที่คอมพิวเตอร์สามารถปฏิบัติการได้
 - อินเทอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นโปรแกรมภาษาซึ่งทำหน้าที่แปลคำสั่งในโปรแกรมต้นฉบับที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมระดับสูง และปฏิบัติการตามคำสั่งโดยตรงจากโปรแกรมต้นฉบับทันที จะแปลคำสั่งครั้งละหนึ่งคำสั่ง แล้วประมวลผลในทันที หลังจากนั้น จะรับคำสั่งถัดไปเพื่อแปลเป็นภาษาเครื่อง แล้วประมวลผลทันที เช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะจบโปรแกรม หรือพบที่ผิดพลาดทางไวยากรณ์ในคำสั่งที่รับมาแปล
 - ยุคของภาษาคอมพิวเตอร์

 - ยุคที่ 1 (First Generation Language : 1GL) เป็นภาษาระดับต่ำ (Low - Level Language) ประกอบด้วยเลขฐานสอง ได้แก่ 0 และ 1 หรือเรียกว่า "ภาษาเครื่อง (Machine Language)"
 - ยุคที่ 2 (Second Generation Language : 2GL) ได้มีผู้พัฒนาให้มีการใช้สัญลักษณ์แทนตัวเลขฐานสอง เรียกว่า "ภาษาสัญลักษณ์ (Symbol Language)" คือ ภาษาอังกฤษ จะเป็นคำสั่งสั้น ๆ ที่จำได้ง่าย เรียกว่า "นิวมอนิกโค้ด (Nemonic Code)" ทำให้นักเขียนโปรแกรมสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างภาษาสัญลักษณ์ ได้แก่ ภาษา Assembly และเนื่องจากเป็นภาษาสัญลักษณ์ จึงต้องใช้ตัวแปลภาษา เพื่อทำให้เป็นภาษาเครื่องก่อน ด้วยตัวแปลภาษาที่เรียกว่า "Assembler"
 - ยุคที่ 3 (Third Generation Language : 3GL) ภาษาสัญลักษณ์ได้มีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถแทนตัวเลขฐานสองได้เป็นคำ ทำให้กลายเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจและเขียนได้ง่ายขึ้น คำสั่งสั้นและกระชับมากขึ้น เช่น ภาษา BASIC, COBOL, Pascal
 - ยุคที่ 4 (Fourth Generation Language : 4GL) ได้มีการพัฒนารูปแบบการเขียนโปรแกรมจากยุคที่ 3 ที่จัดว่าเป็นการเขียนแบบ Procedural ให้กลายเป็นการเขียนแบบ Non - Procedural ที่สามารถกระโดดไปทำคำสั่งใดก่อนก็ได้ตามที่โปรแกรมเขียนไว้ นอกจากนี้ จุดเด่นของภาษาในยุคนี้เริ่มจากการเขียนคำสั่งให้ผู้ใช้สามารถจัดการกับข้อมูลในฐานข้อมูลได้และพัฒนาต่อมากลายเป็นการเขียนคำสั่งให้ได้โปรแกรมที่มีส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิกมากขึ้น และพัฒนาจนมาถึงการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object - Oriented Programming) เช่น ภาษา C++, Visual C++, Delphi, Visual Basic เป็นต้น ปัจจุบันมีภาษาที่ใช้หลักการของโปรแกรมเชิงวัตถุที่นิยมใช้ เช่น ภาษา Java
 - ยุคที่ 5 (Fifth Generation Language : 5GL) เป็นภาษาที่ใช้สำหรับพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System : ES) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ภาษาในยุคที่ 5 เรียกว่า "ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)" คือ ไม่ต้องสนใจถึงคำสั่งหรือลำดับของข้อมูลที่ถูกต้อง ผู้ใช้เพียงแต่พิมพ์สิ่งที่ต้องการลงในเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นคำหรือประโยคตามที่ผู้ใช้เข้าใจ คอมพิวเตอร์จะพยายามแปลคำหรือประโยคเหล่านั้นเพื่อทำตามคำสั่ง แต่ถ้าไม่สามารถแปลให้เข้าใจได้ ก็จะมีคำถามกลับมาถามผู้ใช้เพื่อยืนยันความถูกต้อง
 โปรแกรมยูทิลิตี้ (Utility Software) เป็นโปรแกรมที่ให้บริการต่าง ๆ เช่น การจัดเรียงข้อมูลตามหลักใดหลักหนึ่ง (Sort) รวมแฟ้มข้อมูลที่เรียงลำดับแล้วเข้าด้วยกัน (Merge) หรือย้ายข้อมูลจากอุปกรณ์รับส่งอย่างหนึ่งไปยังอีกอุปกรณ์หนึ่ง ประกอบด้วยโปรแกรมต่าง ๆ ได้แก่ Editor, Debugging, Copy
  2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) เป็นโปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานเฉพาะอย่างหรือเฉพาะด้าน
 ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) มี 2 ประเภท คือ

 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไปหรือซอฟต์แวร์สำเร็จรูป

 - ซอฟต์แวร์เกี่ยวกับระบบจัดการ

 - ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ

 - ซอฟต์แวร์กระดานคำนวณ

 - ซอฟต์แวร์จัดการข้อมูลด้านงานธุรกิจ

 - ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)

 - ซอฟต์แวร์เพื่อการติดต่อสื่อสารและเข้าถึงข้อมูล

 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน

 เป็นโปรแกรมที่ผลิตขึ้นมาเพื่อทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง และไม่สามารถทำงานอื่นได้ เช่น โปรแกรมระบบบัญชี โปรแกรมช่วยงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
 ข้อดี - ข้อเสียระหว่างการจัดจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์กับการจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปในองค์กร

 ข้อดีของการจัดจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์

 - ประหยัดค่าใช้จ่าย

 ข้อดีของการจัดจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์

 - การบริการบำรุงรักษา บริษัทผู้รับจ้างจะช่วยดูแลบำรุงรักษาและแก้ไขปัญหาจน มั่นใจในความถูกต้องของโปรแกรม
 - ซอฟต์แวร์มีความยืดหยุ่นรองรับอนาคต

 - สามารถนำบุคลากรไปพัฒนางานอื่น ๆ ขององค์กรได้

 - การจัดการเงินทุน ค่าใช้จ่าย แน่นอนตามวงจรเวลาในข้อสัญญา

 ข้อเสียของการจัดจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์

 - สูญเสียการควบคุม

 - ความต้องการพึ่งพา (Dependency)

 - ความลับของหน่วยงาน

 ข้อดีของการจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูป

 - มีราคาต่ำกว่าการพัฒนาเองเนื่องจากบริษัทผลิตขายในเชิงพาณิชย์จำนวนมาก ทำให้ต้นทุนต่ำลงกว่าผลิตเพื่อขายในคราวเดียว
 - ความน่าเชื่อถือ

 - การประมาณการเวลาจัดหา แน่ชัดและใช้เวลาน้อยกว่าวิธีใด ๆ

 ข้อเสียของการจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูป

 - การจัดหาซอฟต์แวร์สำเร็จรูปมีข้อเสียที่สำคัญที่สุดคือ ความไม่ตรงกับความ ต้องการของหน่วยงาน
 กฎหมายลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์

 ความเป็นมาของกฎหมายลิขสิทธิ์

 ในประเทศไทยการกำหนดลิขสิทธิ์ได้ปรากฏครั้งแรกราว พ.ศ.2445 ในรัชกาลที่ 5 เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม (Literacy) เรื่อง "วัชิรญาณวิเศษ" และได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใหม่ในปี พ.ศ.2457 สมัยรัชกาลที่ 6 โดยยังคงเน้นงานด้านวรรณกรรม ต่อมาในปีพ.ศ.2474 สมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมงานอื่น ๆ อีกเช่น งานคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และผลงานของชาวต่างชาติแก่กฎหมายฉบับนี้มีบทลงโทษในสถานเบา ในปีพ.ศ.2521 ได้เพิ่มงานสื่อภาพ เสียง และวีดีโอให้ครอบคลุมของกฎหมาย จากนั้นอีก 15 ปี คือ พ.ศ.2534 รัฐบาลได้ประกาศขยายความครอบคลุมงานด้านวรรณกรรม ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ การนำไปเผยแพร่และการให้เช่า งานด้านสื่อภาพ เสียง (Visual - Sound - Video) พระราชบัญญัติฉบับนี้ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันโดยเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 21 มีนาคม 2538 ภายใต้ความรับผิดชอบดูแลของกรมลิขสิทธิ์ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ (Department of Intellectual Property - DIP)
 ลิขสิทธิ์ในซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์

 คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ถูกกำหนดนิยามเป็นชุดของคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หรือได้ผลลัพธ์ใด ๆ ออกมา ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ถือเป็นงานวรรณกรรม (Literacy) คล้าย ๆ กับหนังสือ บทประพันธ์ บทบรรยาย การละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกลงโทษโดยการปรับ 20,000 ถึง 200,000 บาท หากละเมิดกระทำไปเพื่อหวังผลกำไร - เป็นการค้า จะปรับ 100,000 ถึง 800,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือนถึง 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ การป้องกันสิทธิ์จะครอบคลุมตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์งานนั้น ๆ บวก 50 ปี การขอลิขสิทธิ์จะต้องจัดเตรียมหนังสือมอบอำนาจทำการแทน (ถ้ามี) แบบฟอร์มคำร้องขอจำนวน 3 ชุด ชุดสิ่งประดิษฐ์ 2 ชุดหรือภาพถ่าย (ในกรณีมิอาจนำสิ่งของ - ผลงานมายื่นเสนอได้)
 ข้อยกเว้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ด้านคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์

 ผู้ละเมิดจะไม่มีความผิดหาก

 - มิได้มีเจตนาเพื่อการค้าหรือแสวงหากำไร

 - มิได้ล่วงล้ำสร้างความเสียหายที่รุนแรงใด ๆ ต่อเจ้าของลิขสิทธิ์

 การบังคับใช้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์จะครอบคลุมถึงคอมพิวเตอร์จากต่างประเทศ ดังนี้

 - ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีสัญชาติหรือเป็นพลเมืองของประเทศที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม ความตกลงกรุงเบริน (Berne Convention for Protection of Literacy and Artistic Works) เช่น USA, UK, JAPAN
 - งานนั้นได้จดสิทธิบัตรไว้ในประเทศที่เป็นสมาชิกของ Berne หรือ TRIPs (องค์กรต่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ เช่น United Nations - UN, WHO - World Health Organization) เป็นต้น




By kongnakornseo

อยากใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็น จะต้องทำอย่างไรกันบ้าง

อยากใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็น จะต้องทำอย่างไรกันบ้าง เริ่มต้นจากตรงนี้
หลาย ๆ คนที่ได้มีโอกาสใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็ทำได้แค่เพียงใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องสำเร็จรูปแล้วเท่านั้น วันดีคืนดี เจ้าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่งมีอันต้องเกิดปัญหาขึ้นมา ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร หากคุณพอจะรู้จักกับอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นบ้าง คงจะช่วยได้มากใช่ไหมครับ
อย่างไรจึงจะเรียกว่า ใช้คอมพิวเตอร์เป็น
คำถามแรกเลย คุณใช้คอมพิวเตอร์เป็นหรือยัง คงจะไม่มีคำตอบที่แน่นอนตายตัว ว่าอย่างไรเรียกว่าเป็นนะครับ ในความคิดเห็นของผม หากคุณสามารถบอกได้ทั้งหมดว่า เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น มีสเปคอย่างไร ใช้ซีพียู ความเร็วเท่าไร ขนาดของแรม ชนิดของการ์ดจอและการ์ดเสียง อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต่อใช้งานอยู่ ระบบปฏิบัติการ และซอฟต์แวร์ ที่ใช้งานอยู่มีอะไรบ้าง และที่สำคัญมากคือ จากจุดเริ่มต้น ถ้าฮาร์ดดิสก์ของคุณไม่มีอะไรอยู่เลย คุณสามารถที่จะลง Windows และโปรแกรมต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองจบครบ ตามที่ต้องการใช้งานได้ สามารถใช้งานซอฟต์แวร์ ต่าง ๆ ตามความจำเป็น อาจจะไม่ต้องครบทุกอย่าง นั่นแหละ เรียกว่าใช้คอมพิวเตอร์เป็นในความคิดของผมครับ ลองสำรวจตัวคุณเองก่อน ว่าตอนนี้อยู่ในขั้นไหน ตรงไหนรู้แล้ว ตรงไหนยังไม่รู้ครับ
ลำดับการเริ่มต้นเรียนรู้คอมพิวเตอร์
มาดูลำดับการเริ่มต้นศึกษาหาความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ก่อน ลองศึกษาทีละขั้นตอน อย่าข้ามนะครับ
1. ศึกษาการใช้งาน Windows ในเบื้องต้น โดยที่ควรจะสามารถใช้งานฟังค์ชันต่าง ๆ พื้นฐานได้พอสมควร
2. ศึกษาการใช้งาน ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่มีมากับเครื่อง เท่าที่คิดว่าจำเป็นและต้องการใช้งานเช่น internet, word, excel ฯลฯ
3. อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น printer, scanner, modem ที่มีต่ออยู่ ต้องรู้จักและใช้งานได้เต็มความสามารถ
4. สามารถทำการลงซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ และทำการ Uninstall ออกได้ เน้นที่ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ยังไม่ถึงกับลง Windows ใหม่นะ
5. เริ่มต้นหัดลง Windows ด้วยตัวเอง จากการฟอร์แม็ตฮาร์ดดิสก์ ลบข้อมูลออกทั้งหมดและลง Windows ได้จนครบ
6. สามารถจัดการกับ ฮาร์ดดิสก์ ได้ตามต้องการ เช่นการกำหนดขนาด การแบ่งพาร์ติชันต่าง ๆ ตามต้องการ
7. เริ่มต้น การรื้อ ถอด ประกอบ ชิ้นส่วนฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มจากสายไฟต่าง ๆ สายจอ สายเมาส์ ฯลฯ
8. เปิดฝาเครื่อง ลองสำรวจอุปกรณ์ภายใน และทำความรู้จักว่า ชิ้นไหนคืออะไร ใช้สำหรับทำอะไร (มองเฉย ๆ อย่าเพิ่งรื้อนะครับ)
9. ตรวจสอบสเปคเครื่องอย่างละเอียด ว่าใช้อุปกรณ์ยี่ห้ออะไร รุ่นไหน ขนาดเท่าไรบ้าง เป็นบทเรียนเริ่มต้นด้านฮาร์ดแวร์นะครับ
10.
เริ่มต้นการถอดเปลี่ยน ฮาร์ดดิสก์ ก่อน ศึกษาการต่อสายไฟ และสายข้อมูลต่าง ๆ (ฮาร์ดดิสก์ จะเป็นจุดแรกที่ควรทราบไว้)
11. หลังจากรู้จักฮาร์ดดิสก์ แล้ว การศึกษาตัว ซีดีรอม ฟลอปปี้ดิสก์ ก็คงจะไม่ยากนัก
12. ถ้ามีการ์ด ต่าง ๆ ที่เสียบอยู่บนเมนบอร์ด เช่นการ์ดจอ การ์ดเสียง โมเด็ม การทดลอง ถอด ใส่ ก็เป็นอีกบทเรียนหนึ่งที่ดีมาก ๆ
13. ซีพียู แรม ทดลองแงะออกมา แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ให้คุ้นเคยมือเลยครับ
14.
อุปกรณ์อื่น ๆ สายไฟของระบบ สายแพร สายเสียง ฯลฯ ดูให้ครบว่ามีอะไรบ้าง
15. สังเกตุ jumper ต่าง ๆ และลองเปิดคู่มือเมนบอร์ดมาอ่านดู ว่าแต่ละตัวใช้สำหรับทำอะไรบ้าง
16. นึกภาพ ว่าถ้าจะอัพเกรดเครื่อง เปลี่ยน ซีพียูใหม่ เพิ่มแรม ฯลฯ ต้องทำอะไรบ้าง หรือถ้ามีซีพียูตัวใหม่จริง ๆ ก็ลุยกันเลยครับ
17. ทำได้แค่นี้ ก็ถือว่าเก่งแล้วครับ ถ้าจะให้ดี ต้องถอดทุกชิ้นส่วนออกมา แล้วประกอบใหม่ ถ้าเครื่องใช้งานได้ แปลว่าคุณสอบผ่าน
18. หากสนใจเรื่องอินเตอร์เน็ต ก็ลองเขียนเว็บไซต์เป็นของตัวเองขึ้นมาซักเว็บนึง อาจจะมีไอเดียดี ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่องได้ครับ
อ่านแล้วอย่าเพิ่งใจเสียกันนะครับ ทุก ๆ หัวข้อด้านบนนี้ ใช้เวลาศีกษาอย่างน้อยก็ ครึ่งปีขึ้นไป ดังนั้น ไม่ต้องฝันหวานกันเลย ว่าจะสามารถทำทุกอย่าง เรียนรู้ได้ภายใน 1 สัปดาห์ (แบบที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ทั่วไป นิยมใช้พูดกัน) แต่ถ้าหากคุณ สามารถทำได้ทั้งหมดนี้ ก็จะเป็นความภูมิใจส่วนตัว ของคุณเองครับ ในส่วนของผม ก็คงจะทำได้แค่เพียง หาข้อมูลต่าง ๆ ที่น่าสนใจ มาแสดงเป็นตัวอย่างและแนวทางให้ทุกท่านได้ทดลองทำกัน อาจจะมีบางเรื่องที่ตรงกับความต้องการบ้างไม่มากก็น้อย
จะเริ่มต้นศึกษา ต้องลงทุนกันหน่อย
มีคำถามทำนองนี้เข้ามาค่อนข้างบ่อยว่า อยากจะเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยแนะนำสถานที่สอนหรือโรงเรียนที่ดี ๆ ให้หน่อย โดยส่วนตัวผมเองแล้ว เครื่องคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้งานนั่นแหละครับ คือครูที่ดีที่สุด เพียงแต่ว่า หากต้องการใช้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ในการศึกษาหาความรู้ ก็ต้องลงทุนกันหน่อย อย่าเพิ่งนึกว่าเป็นการลงทุนอัพเกรด หรือต้องซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เพิ่มเติมนะครับ ผมหมายถึง การลงทุนโดยการลบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีเก็บอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณออกให้หมด และเริ่มต้นจากการ ทำการติดตั้งและลงซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ด้วยตัวคุณเอง ถ้าหากได้ทดลองสักครั้งหนึ่ง ครั้งต่อ ๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ คราวต่อไป ต้องการที่จะอัพเกรดเครื่องด้วยตัวเอง ก็ลองหาการ์ดต่าง ๆ แรม หรือซีพียู มาเปลี่ยนเอง จากนั้นความรู้และความชำนาญในด้านต่าง ๆ ก็จะตามมาเอง ไม่ยากหรอกครับ หากคิดว่ายากเกินไป ก็คงต้องหาเพื่อนที่พอเป็นมาเป็นพี่เลี้ยงในครั้งแรก ๆ ก่อนด็ดีครับ


บทสรุปส่งท้าย
การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้จากการทดลอง หากต้องการเรียนรู้ต้องทำการทดลองด้วยตัวคุณเอง เว็บไซต์นี้ จะเป็นข้อมูลในเบื้องต้น สำหรับการเรียนรู้ของทุก ๆ ท่าน โดยผมจะพยายามเพิ่มเติมเนื้อหาให้ครอบคลุมในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน ซอฟต์แวร์ ฮาร์แวร์ เทคนิคต่าง ๆ เท่าที่ผมเองพอจะทราบอยู่บ้าง อาจจะทำได้ช้าไปสักนิดก็คงไม่ว่ากันนะครับ เพราะเว็บไซต์นี้ ผมทำเองคนเดียว โดยใช้เวลาว่างจากงานประจำมาอัพเดทข้อมูล กำลังใจของผมก็คือ จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ครับ วันไหนเห็น ตัวเลขจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บเพิ่มขึ้น ก็รู้สึกว่า สิ่งที่ได้ทำลงไป มีผู้คนสนใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้มากขึ้นครับ ส่วนแบนเนอร์ของเว็บไซต์สปอนเซอร์ ที่ติดอยู่ด้านบนของแต่ละหน้าเว็บ ก็ขอฝากไว้ให้ช่วย ๆ กันดูแลกันบ้างนะครับ คลิกบ่อย ๆ หรือทุกครั้งที่แวะเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้นะครับ ขอให้มีความสุขกับการ ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์นะครับ
 By kongnakornseo